บริการทุกคนให้มีสุขภาพดี
สุขภาพดี เริ่มต้นที่ “ภูมิคุ้มกัน”
Gut Microbiome คืออะไร ? เกี่ยวข้องอย่างไรกับสุขภาพร่างกาย
Gut Microbiome คือ
Gut Microbiome หรือไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหาร คือ จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ภายในระบบทางเดินอาหาร ไม่ว่าจะเป็น แบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัสต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งจุลินทรีย์ที่เรามีภายในร่างกายอยู่แล้ว และจุลินทรีย์ที่เราได้รับเข้าสู่ร่างกาย เช่นจากอาหาร และ ยา ซึ่งความสมดุลของ Gut Microbiome ส่งผลต่อร่างกายอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อระบบทางเดินอาหาร เราจึงสามารถใช้ Gut Microbiome เป็นตัวชี้วัดสุขภาพลำไส้ได้ด้วย
ประโยชน์และความสำคัญของ Gut Microbiome ต่อร่างกาย
Gut Microbiome มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยสร้างสมดุลให้ร่างกายและทำให้เรามีสุขภาพดีได้ โดยการมี Gut Microbiome ที่สมดุลจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยสังเคราะห์วิตามินบางชนิดและกรดอะมิโน เช่น วิตามินบี และวิตามินเค นอกจากนี้ Gut Microbiome ยังมีส่วนช่วยในการย่อยคาร์โบไฮเดรตที่ซับซ้อนลดภาระของระบบทางเดินอาหาร และการทำงานของสมองอีกด้วย
นอกจากเรื่องประโยชน์ต่อร่างกายโดยตรงแล้วการตรวจ Gut Microbiome ยังช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคที่หลากหลาย รวมไปถึงสุขภาวะต่าง ๆ ที่ไม่มีสาเหตุแน่ชัด เพื่อนำไปสู่แนวทางการรักษาที่ถูกต้อง
การตรวจสุขภาพลำไส้โดยใช้ Gut Microbiome เป็นตัวชี้วัด
การตรวจสุขภาพโดยใช้ Gut Microbiome สามารถช่วยให้แพทย์วิเคราะห์ปัญหาสุขภาพ หรือหาแนวทางปฏิบัติที่จะช่วยรักษาสุขภาวะของร่างกายที่ไม่ปกติได้อย่างแม่นยำขึ้น
โดยปริมาณและชนิดของจุลินทรีย์ใน Gut Microbiome สามารถคัดกรอง (screening) สาเหตุของโรคสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ได้ เช่น
โรคหัวใจ
โรคมะเร็ง
โรคเบาหวาน
ภาวะน้ำหนักเกิน
โรคอ้วน
การตรวจ Gut Microbiome ยังทำให้เราทราบแนวทางในการปฏิบัติตัวต่อความผิดปกติทางสุขภาวะที่ไม่ทราบสาเหตุได้อย่างเช่น
อาการนอนไม่หลับ
ความแปรปรวนของอารมณ์
การตื่นกลัว
นอกจากนี้การตรวจ Gut Microbiome ยังสามารถช่วยให้แพทย์ประเมินการตอบสนองของร่างกายต่อยาที่รับประทานเข้าไปได้อีกด้วย
การตรวจสุขภาพโดยใช้ Gut Microbiome สามารถวิเคราะห์ได้ทั้งชนิดและปริมาณของเชื้อจุลินทรีย์ทั้งในลำไส้และอุจจาระ จึงทำให้สามารถตรวจสอบได้อย่างแม่นยำ เมื่อมีการเก็บตัวอย่าง Gut Microbiome อย่างถูกต้อง แต่จะเหมาะสมกับคนในช่วงวัยทำงานเป็นต้นไป หรือในผู้มีปัญหาสุขภาพที่จำเป็นจะต้องได้รับแนวทางในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อแก้ไขหรือบรรเทาอาการที่เป็นอยู่
วิธีเสริมสร้าง Gut Microbiome ให้ดีต่อร่างกาย
เนื่องจากจุลินทรีย์ใน Gut Microbiome นั้นมีหลากหลาย ดังนั้นวิธีการเสริมสร้าง Gut Microbiome ให้ดีจึงมีหลายวิธีที่ควรทำประกอบกันไป ได้แก่
การรับประทานอาหารให้หลากหลาย เพื่อให้ได้รับจุลินทรีย์ดีหลายชนิดเข้าสู่ร่างกาย และทำให้ Gut Microbiome มีความหลากหลาย จุลินทรีย์แต่ละชนิด พร้อมรองรับการทำหน้าที่ที่แตกต่างกัน
การรับประทานอาหารหมักต่าง ๆ เพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ดีอย่าง probiotics ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานโยเกิร์ต นมเปรี้ยวหรือ ชีสบางชนิด
การรับประทานอาหารที่มี prebiotics สูง เช่น ธัญพืช ผักและผลไม้ต่าง ๆ เพื่อเป็นอาหารให้แก่ probiotics ที่อยู่ใน Gut Microbiome
การลดสารให้ความหวานแทนน้ำตาลลง เพราะจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงและยังเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่ไม่ดีใน Gut Microbiome อีกด้วย
รับประทานอาหารที่มี polyphenols สูงเช่น ชาเขียว ช็อกโกแลต และน้ำมันมะกอก เนื่องจากจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของแบคทีเรียดีใน ใน Gut Microbiome ได้
วิธีการเหล่านี้สามารถทำตามได้ไม่ยาก ทั้งยังสามารถเสริมสร้างและพัฒนา Gut Microbiome ให้มีความสมดุล ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงมากขึ้นได้
สรุป
Gut Microbiome คือ จุลินทรีย์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร ซี่งมีทั้งจุลินทรีย์ที่ดี และจุลินทรีย์ที่ไม่ดี ดังนั้น Gut Microbiome จึงมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยสังเคราะห์วิตามินและกรดอะมิโน และยังช่วยลดภาระการทำงานของระบบทางเดินอาหารได้
นอกจากนี้ Gut Microbiome ยังช่วยให้แพทย์สามารถคัดกรองสาเหตุของโรคได้หลายชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และยังทำให้ทราบแนวทางการปฏิบัติต่อสภาวะทางสุขภาพที่ไม่ทราบสาเหตุแน่นอนอย่างการนอนไม่หลับได้อีกด้วย ซึ่งการตรวจสอบ Gut Microbiome จะเหมาะกับคนในวัยทำงานเป็นต้นไปหรือผู้มีปัญหาสุขภาพ
โดยเราสามารถเสริมสร้าง Gut Microbiome ให้สมดุลและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยเฉพาะการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เพื่อให้เรารับเอาจุลินทรีย์ดีเข้าสู่ Gut Microbiome มากขึ้น และลดจำนวนจุลินทรีย์ที่ไม่ดีลง ทำให้สุขภาพร่างกายของเราแข็งแรงเป็นปกติ
สำหรับท่านที่สนใจสาระน่ารู้ดี ๆ แบบนี้ สามารถกดติดตามเพจ Jpogene เพื่อไม่ให้พลาดทุกบทความสุขภาพและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพแข็งแรงได้ไม่ยาก
แฮปปี้ไมโครไบโอมกับสุขภาพผิว โดย พญ.ภัทรลดา ฤทธิวงศ์
เคยสังเกตไหมคะว่า ทำไมแต่ละคน มีลักษณะของผิวที่แตกต่างกัน แม้แต่พี่น้องกัน ก็อาจจะมีผิวที่ต่างกัน บางคนผิวมัน บางคนผิวแพ้ง่าย สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผิวเราแข็งแรง แตกต่างกันนั้นก็คือ Skin Microbiome หรือ จุลินทรีย์บนผิวหนังเราค่ะ
ผิวหนังเป็นอวัยวะ ที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย มีหน้าที่สำคัญคือ ดูแลปกป้องร่างกายจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ไม่ว่าจะเป็น สารพิษ สารเคมี แสงแดด รังสี หรือการกระทบกระแทก รวมไปถึง การทำงานควบคุมอุณหภูมิ สร้างสารคัดหลั่ง เหงื่อ ผิวหนังมีปลายประสาทรับสัมผัสต่างๆ ร้อนหนาว เจ็บปวด และเป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์วิตามินที่สำคัญ คือวิตามินดี ซึ่งมีความจำเป็นอย่างมากต่อการทำงานระบบต่างๆของร่างกาย
ผิวหนังเรานั้นสำคัญขนาดนี้ ธรรมชาติจึงมอบความพิเศษสุดๆ ให้เราโดยมีเจ้าจุลินทรีย์ประจำถิ่นหรือ Skin microbiome ให้มาสร้างระบบนิเวศอยู่กัน ซึ่งจะมีชนิดและปริมาณที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ สภาพผิว ความชื้น ค่า PH หรือ ตำแหน่งของผิวหนังในร่างกาย หากว่าเมื่อใดที่เราเสียสมดุลของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ไปนั้น ก็จะส่งผลให้ผิวอ่อนแอลงและเกิดปัญหาต่างๆตามมาค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ผิวแห้ง ผิวมัน สิว ผื่นแดง คัน เป็นต้น
โดยจุลินทรีย์ที่กล่าวมานี้ ไม่เพียงแต่จะมีตามผิวหนังเรานะคะ ยังพบว่ามีอยู่ทั่วๆไปตามอวัยวะต่างๆในร่างกายค่ะ ซึ่งจะทำหน้าที่แตกต่างกันไปตามตำแหน่งที่อยู่ ตั้งแต่ผิวหนัง เหงือกและฟัน หลอดอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ เป็นต้น ซึ่งจุลินทรีย์ที่อาศัยตามผิวเรา มีทั้งอยู่ชั่วคราว ถาวร กึ่งถาวร
ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อความหลากหลายและปริมาณ ของจุลินทรีย์ในผิวหนัง?
จุลินทรีย์ที่ผิวหนังนั้น มีทั้ง แบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส ซึ่งสิ่งนี้แหละที่ทำให้แต่ละคนมีความแตกต่างกัน ผิวหนังของเรานั้นมีหลายชั้น ตัวจุลินทรีย์ส่วนใหญ่จะอยู่ผิวชั้นนอกสุด หรือ Epidermis และมีชนิด/ปริมาณที่ต่างจาก จุลินทรีย์ที่อยู่ชั้นถัดลงมาคือชั้น Dermis โดยปัจจัยที่เกี่ยวข้องมักจะส่งผลต่อจุลินทรีย์ที่อยู่ชั้นนอกสุดมากกว่า หมอจะขอแบ่งออกเป็น 3 อย่างย่อยๆ ให้เข้าใจง่าย
ปัจจัยภายใน ได้แก่ อายุ เพศ พันธุกรรม ตำแหน่งของร่างกายที่มีต่อมไขมันที่ต่างกันก็จะทำให้ชนิดของจุลินทรีย์ต่างกัน ปริมาณก็ต่างกัน ซึ่งจะเห็นว่า ปัจจัยภายในนั้น เราจะเปลี่ยนแปลงได้น้อยมาก แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงปัจจัยภายนอกอื่นๆ เพื่อควบคุมปัจจัยภายในได้ค่ะ
ปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมได้ ได้แก่ กิจวัตรประจำวัน (Lifestyle), โรคประจำตัวที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงโดยLifestyleได้ เช่นระดับน้ำตาลในเลือด, การจัดการความเครียด, สภาพแวดล้อมรอบตัวเช่น ความแห้ง ความชุ่มชื้นของอากาศ ค่าความเป็นกรดด่างของร่างกาย สารเคมีที่สัมผัสผิวหนัง, การรับประทานยาปฏิชีวนะ, การส่งต่อหรือถ่ายทอดจุลินทรีย์ที่เราได้รับมาตั้งแต่เด็ก ก็คือ การคลอดโดยธรรมชาติ ก็จะได้จุลินทรีย์ชนิดหนึ่ง การผ่าตัดคลอดก็จะได้จุลินทรีย์ที่แตกต่างกัน, การรับประทานอาหารหรืออาหารเสริม, การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว, ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เป็นต้น
ปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมได้ยากมาก ได้แก่ สภาพภูมิอากาศที่เราอาศัยอยู่, สารพิษ PM2.5 รอบกายเรา ดังนั้นในคนที่ผิวสุขภาพดี ควรจะมีจุลินทรีย์หลากหลายชนิด และปริมาณที่ไม่มากเกินไปค่ะ
หน้าที่ของจุลินทรีย์บนผิวเราคืออะไร ?เจ้าจุลินทรีย์ตัวจิ๋วบนผิวเรานั้น ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันให้กับผิวเราค่ะ โดยสร้างสารต่างๆบนผิวเรา เช่น สร้างสารที่เป็นกรดเพื่อให้ผิวของเราเป็นกรดอ่อนๆ ทำให้ลดเชื้อตัวก่อโรคผิวหนังบางชนิดได้, ทำให้ผิวตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจุลินทรีย์ที่อยู่ถาวรจะจดจำเชื้อโรคสิ่งแปลกปลอมเอาไว้ เพื่อตอบสนองต่อเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม ความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ที่ผิวหนังเกิดขึ้น มักจะสัมพันธ์กับสาเหตุของโรคผิวหนังหลายชนิด เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง สิว สะเก็ดเงิน เป็นต้น จุลินทรีย์บางชนิดสามารถทำลายแบคทีเรียอื่นๆที่ไม่เป็นมิตรกับผิวเรา ทำให้เกิดความสมดุลของจุลินทรีย์ในผิวหนังได้ ที่สำคัญกว่านั้นคือ จุลินทรีย์ที่สมดุลนั้น ยังช่วยป้องกันรังสียูวีได้ มีการทดลองในหนูทดลองพบว่า หนูที่มีแบคทีเรียชื่อ Staphylococcus epidemidis ซึ่งจะสร้างสารฟิล์มเคลือบผิวที่ยากต่อการล้างชำระและป้องกันการซึมผ่านของสารเคมี เมื่อไปเทียบกับหนูที่ไม่มีจุลินทรีย์ชนิดนี้ จะได้รับรังสียูวีน้อยกว่า หรือเชื้อแบคทีเรียที่เราคงได้ยินชื่อบ่อยๆ คือ Staphylococcus aureus ซึ่งจัดว่าเป็นจุลินทรีย์กึ่งถาวรโดยให้ทั้งประโยชน์และโทษต่อผิวหนังได้เลยค่ะ เช่นถ้าปริมาณจุลินทรีย์กลุ่มอื่นๆลดลง เจ้าเชื้อ Staphylococcus aureus มีมากไปก็จะสร้างสารพิษกระตุ้นให้แผลติดเชื้อและหายช้าทำลายเยี่อบุผิวให้เสื่อมสภาพได้
เจ้าจุลินทรีย์ตัวจิ๋วบนผิวเรานั้น ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันให้กับผิวเราค่ะ โดยสร้างสารต่างๆบนผิวเรา เช่น สร้างสารที่เป็นกรดเพื่อให้ผิวของเราเป็นกรดอ่อนๆ ทำให้ลดเชื้อตัวก่อโรคผิวหนังบางชนิดได้, ทำให้ผิวตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจุลินทรีย์ที่อยู่ถาวรจะจดจำเชื้อโรคสิ่งแปลกปลอมเอาไว้ เพื่อตอบสนองต่อเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม ความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ที่ผิวหนังเกิดขึ้น มักจะสัมพันธ์กับสาเหตุของโรคผิวหนังหลายชนิด เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง สิว สะเก็ดเงิน เป็นต้น จุลินทรีย์บางชนิดสามารถทำลายแบคทีเรียอื่นๆที่ไม่เป็นมิตรกับผิวเรา ทำให้เกิดความสมดุลของจุลินทรีย์ในผิวหนังได้ ที่สำคัญกว่านั้นคือ จุลินทรีย์ที่สมดุลนั้น ยังช่วยป้องกันรังสียูวีได้ มีการทดลองในหนูทดลองพบว่า หนูที่มีแบคทีเรียชื่อ Staphylococcus epidemidis ซึ่งจะสร้างสารฟิล์มเคลือบผิวที่ยากต่อการล้างชำระและป้องกันการซึมผ่านของสารเคมี เมื่อไปเทียบกับหนูที่ไม่มีจุลินทรีย์ชนิดนี้ จะได้รับรังสียูวีน้อยกว่า หรือเชื้อแบคทีเรียที่เราคงได้ยินชื่อบ่อยๆ คือ Staphylococcus aureus ซึ่งจัดว่าเป็นจุลินทรีย์กึ่งถาวรโดยให้ทั้งประโยชน์และโทษต่อผิวหนังได้เลยค่ะ เช่นถ้าปริมาณจุลินทรีย์กลุ่มอื่นๆลดลง เจ้าเชื้อ Staphylococcus aureus มีมากไปก็จะสร้างสารพิษกระตุ้นให้แผลติดเชื้อและหายช้าทำลายเยี่อบุผิวให้เสื่อมสภาพได้
ความสัมพันธ์ของจุลินทรีย์บนผิวหนังกับตัวเรา
หน้าที่สำคัญของจุลินทรีย์บนผิวเรา (Skin Microbiome) นอกจากจะช่วยเรื่องการเปล่งประกายความงามของผิวและบ่งชี้ถึงความมีสมดุลสุขภาพดีจากภายในแล้ว ยังทำหน้าที่สื่อสารควบคุมการทำงานของระบบอื่นๆของร่างกายเราด้วย โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันค่ะ เพราะผิวหนังคือด่านแรกที่ปกป้องร่างกายเรา ปัจจุบันมีการศึกษาชนิดและจำนวนของจุลินทรีย์โดยใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ลำดับคู่เบสจากสารพันธุกรรม ทำให้ทราบชนิดและจำนวน จนเข้าใจบทบาทของจุลินทรีย์ต่อผิวหนังได้มากขึ้น
นอกจากนี้ หลายๆคนคงเคยได้ยินว่า หากเราหยุดทานอาหารบางอย่าง เช่น ช็อกโกแลต หรืออาหารที่ทำให้เราเกิดภาวะลำไส้รั่วซึม มักสัมพันธ์กับผิวพรรณที่สดใสขึ้น เช่นสิวลดลง ความมันบนใบหน้าลดลง ความสัมพันธ์นี้ เรียกว่า Gut-skin axis คือจุลินทรีย์ในลำไส้นั้นก็ส่งผลต่อสมดุลจุลินทรีย์ที่ผิวเช่นกัน
อีกตัวอย่างที่น่าสนใจก็คือจุลินทรีย์ P.Acne ที่เราคุ้นเคยกันว่าทำให้เกิดสิวนั้น กลับพบว่า คนที่เป็นสิวกับคนที่ไม่เป็นสิว มีจุลินทรีย์ตัวนี้ในปริมาณที่ไม่ได้แตกต่างกันมาก หากแต่สิ่งที่ต่างกัน กลับเป็น สายพันธุ์ต่างหาก
นอกจากจุลินทรีย์จะส่งผลต่อเราโดยตรงแล้ว ยังมีความสัมพันธ์กับการสร้างสมดุลด้วย เพราะอย่างที่บอกว่า อาจจะไปเพิ่มหรือยับยั้งจุลินทรีย์กลุ่มอื่นได้
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกับไมโครไบโอม
ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยและมีข้อมูลเพิ่มมากขึ้น โดยการศึกษาหนึ่งพบว่า การใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง มีผลโดยตรงต่อสมดุลจุลินทรีย์ที่ผิวของเรา แม้ว่าจะทำความสะอาดผิวหนังแล้วก็ตาม ทั้งเช็ด ล้าง ขัด ถู ต่างก็ส่งผลต่อสมดุลจุลินทรีย์ โดยสรุปของการศึกษานี้คือ
- ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์นั้นจะอยู่บนผิวเราเป็นสัปดาห์แม้ว่าจะทำความสะอาดออกไปแล้วก็ตาม
- องค์ประกอบของเครื่องสำอางนั้น ส่งผลต่อ ความหลากหลายของชนิดจุลินทรีย์ โดยอาจจะส่งเสริมหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้ เช่นถ้าเราใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มเพิ่มความชุ่มชื้นก็อาจจะไปเพิ่มกลุ่มแบคทีเรียที่ชอบไขมันได้
- จุลินทรีย์บนผิวนั้นที่จะเปลี่ยนแปลง จะขึ้นอยู่กับชนิดของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ตำแหน่งการใช้ โดยเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ใช้เลย ดังนั้น การรักษาสมดุลของจุลินทรีย์บนผิว จึงเป็นแนวทางในการดูแลผิวพรรณที่ยั่งยืน
อ้วนเพราะแบคทีเรีย มีจริงหรือ ?เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าปัจจัยที่ทำให้เราอ้วนนั้นมีอยู่มากมาย เช่น อาหารการกิน สิ่งแวดล้อม พันธุกรรม แต่ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า แบคทีเรียก็ทำให้อ้วนได้ โดยเป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของเรานั่นเอง
สงสัยใช่ไหมละคะว่าแบคทีเรีย จะทำให้เราอ้วนได้จริงหรือ แบคทีเรียอะไร แล้วเข้ามาอยู่ในลำไส้เราได้ยังไง ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าในร่างกายของเราไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง ลำไส้ ช่องปาก ช่องคลอด มักจะมีแบคทีเรียประจำถิ่นอาศัยอยู่ร่วมกับเรามาตั้งแต่เกิด โดยการเติบโตมาในสภาวะแวดล้อมต่างกัน กินอาหารแตกต่างกัน ย่อมส่งผลให้ชนิดของแบคทีเรียในร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกันด้วย แบคทีเรียเหล่านี้ไม่ได้ก่อให้เกิดโรคใดๆ กับร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้น บางชนิดยังช่วยผลิตวิตามินให้กับร่างกาย หรือช่วยป้องกันการรุกรานของแบคทีเรียที่ก่อโรคได้อีกด้วย
แต่การศึกษาล่าสุดโดยนักวิทยาศาสตร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการทดลองโดยคัดแยกแบคทีเรียในลำไส้ของฝาแฝด 1 คู่ คนหนึ่งมีร่างกายปกติ แต่แฝดอีกคนเป็นโรคอ้วน แบคทีเรียจากทั้งสองคนถูกปลูกถ่ายเข้าไปในลำไส้ของหนูที่ถูกเลี้ยงขึ้นมาในสภาวะปลอดเชื้อ ผลการทดลองพบว่า หนูที่ได้รับแบคทีเรียของแฝดที่เป็นโรคอ้วนมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น มากกว่าหนูที่ได้รับแบคทีเรียจากแฝดปกติ เมื่อตรวจร่างกายของหนูที่อ้วนขึ้นอย่างละเอียดแล้วพบว่าระบบเผาผลาญไขมันของหนูตัวอ้วนกลับแย่ลงด้วย
นักวิทยาศาสตร์พบสิ่งที่น่าสนใจมากขึ้นเมื่อลองปลูกถ่ายแบคทีเลยจากแฝดคนผอมเข้าไปยังหนูที่เป็นโรคอ้วน พบว่าแบคที่เรียจากลำไส้ของฝาแฝดคนผอม สามารถเข้าไปเจริญเติบโตแทนแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคอ้วน และทำให้หนูที่เป็นโรคอ้วนมีอัตราการเพิ่มของน้ำหนักลดลงจน กระทั่งกลับมาเป็นปกติ!! ผลการทดลองนี้ยิ่งยืนยันให้เห็นว่าโรคอ้วนที่เกิดขึ้นในหนูมีสาเหตุมาจากแบคทีเรียในลำไส้ และเพียงแค่เราเปลี่ยนแปลงชนิดของแบคทีเรียในลำไส้ก็ส่งผลให้โรคอ้วนหายได้
ในตอนท้ายของงานวิจัยนี้นักวิจัยยังชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในการลดความอ้วน นั่นคือการควบคุมอาหาร โดยนักวิจัยได้ลองเปลี่ยนให้หนูที่เป็นโรคอ้วน มากินอาหารที่มีไขมันสูงปริมาณสูงร่วมกับการปลูกถ่ายแบคทีเรียชนิดที่ทำให้ผอม ผลการทดลองพบว่าอาหารที่มีไขมันปริมาณมากขัดขวางกระบวนการปลูกถ่ายแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้แบคทีเรียชนิดที่ทำให้ผอมไม่สามารถยับยั้งโรคอ้วนในหนูได้ ดังนั้น วิธีการเริ่มต้นรักษาโรคอ้วนได้ดีที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงอาหารการกินของเรา ร่วมกับการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ เพราะถึงแม้ว่าจะมีตัวช่วยที่ดีแค่ไหน แต่หากเรายังไม่เริ่มปรับเปลี่ยนนิสัยของตัวเอง เราคงไม่มีวันได้เป็นเจ้าของรูปร่างที่ดีอย่างที่เราฝันไว้แน่ๆ
**ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป ไม่แน่ในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะได้เห็นวิธีการรักษาโรคอ้วนแบบใหม่ ด้วยการปลูกถ่ายแบคทีเรียในลำไส้ หรือผลิตยาเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดที่ส่งเสริมให้เกิดโรคอ้วน เพื่อช่วยให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักได้ง่ายยิ่งขึ้น
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าปัจจัยที่ทำให้เราอ้วนนั้นมีอยู่มากมาย เช่น อาหารการกิน สิ่งแวดล้อม พันธุกรรม แต่ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า แบคทีเรียก็ทำให้อ้วนได้ โดยเป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของเรานั่นเอง
สงสัยใช่ไหมละคะว่าแบคทีเรีย จะทำให้เราอ้วนได้จริงหรือ แบคทีเรียอะไร แล้วเข้ามาอยู่ในลำไส้เราได้ยังไง ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าในร่างกายของเราไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง ลำไส้ ช่องปาก ช่องคลอด มักจะมีแบคทีเรียประจำถิ่นอาศัยอยู่ร่วมกับเรามาตั้งแต่เกิด โดยการเติบโตมาในสภาวะแวดล้อมต่างกัน กินอาหารแตกต่างกัน ย่อมส่งผลให้ชนิดของแบคทีเรียในร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกันด้วย แบคทีเรียเหล่านี้ไม่ได้ก่อให้เกิดโรคใดๆ กับร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้น บางชนิดยังช่วยผลิตวิตามินให้กับร่างกาย หรือช่วยป้องกันการรุกรานของแบคทีเรียที่ก่อโรคได้อีกด้วย
แต่การศึกษาล่าสุดโดยนักวิทยาศาสตร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการทดลองโดยคัดแยกแบคทีเรียในลำไส้ของฝาแฝด 1 คู่ คนหนึ่งมีร่างกายปกติ แต่แฝดอีกคนเป็นโรคอ้วน แบคทีเรียจากทั้งสองคนถูกปลูกถ่ายเข้าไปในลำไส้ของหนูที่ถูกเลี้ยงขึ้นมาในสภาวะปลอดเชื้อ ผลการทดลองพบว่า หนูที่ได้รับแบคทีเรียของแฝดที่เป็นโรคอ้วนมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น มากกว่าหนูที่ได้รับแบคทีเรียจากแฝดปกติ เมื่อตรวจร่างกายของหนูที่อ้วนขึ้นอย่างละเอียดแล้วพบว่าระบบเผาผลาญไขมันของหนูตัวอ้วนกลับแย่ลงด้วย
นักวิทยาศาสตร์พบสิ่งที่น่าสนใจมากขึ้นเมื่อลองปลูกถ่ายแบคทีเลยจากแฝดคนผอมเข้าไปยังหนูที่เป็นโรคอ้วน พบว่าแบคที่เรียจากลำไส้ของฝาแฝดคนผอม สามารถเข้าไปเจริญเติบโตแทนแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคอ้วน และทำให้หนูที่เป็นโรคอ้วนมีอัตราการเพิ่มของน้ำหนักลดลงจน กระทั่งกลับมาเป็นปกติ!! ผลการทดลองนี้ยิ่งยืนยันให้เห็นว่าโรคอ้วนที่เกิดขึ้นในหนูมีสาเหตุมาจากแบคทีเรียในลำไส้ และเพียงแค่เราเปลี่ยนแปลงชนิดของแบคทีเรียในลำไส้ก็ส่งผลให้โรคอ้วนหายได้
ในตอนท้ายของงานวิจัยนี้นักวิจัยยังชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในการลดความอ้วน นั่นคือการควบคุมอาหาร โดยนักวิจัยได้ลองเปลี่ยนให้หนูที่เป็นโรคอ้วน มากินอาหารที่มีไขมันสูงปริมาณสูงร่วมกับการปลูกถ่ายแบคทีเรียชนิดที่ทำให้ผอม ผลการทดลองพบว่าอาหารที่มีไขมันปริมาณมากขัดขวางกระบวนการปลูกถ่ายแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้แบคทีเรียชนิดที่ทำให้ผอมไม่สามารถยับยั้งโรคอ้วนในหนูได้ ดังนั้น วิธีการเริ่มต้นรักษาโรคอ้วนได้ดีที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงอาหารการกินของเรา ร่วมกับการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ เพราะถึงแม้ว่าจะมีตัวช่วยที่ดีแค่ไหน แต่หากเรายังไม่เริ่มปรับเปลี่ยนนิสัยของตัวเอง เราคงไม่มีวันได้เป็นเจ้าของรูปร่างที่ดีอย่างที่เราฝันไว้แน่ๆ
**ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป ไม่แน่ในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะได้เห็นวิธีการรักษาโรคอ้วนแบบใหม่ ด้วยการปลูกถ่ายแบคทีเรียในลำไส้ หรือผลิตยาเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดที่ส่งเสริมให้เกิดโรคอ้วน เพื่อช่วยให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักได้ง่ายยิ่งขึ้น
ภาวะลำไส้รั่วส่งผลต่อน้ำหนักตัว
นพ.ไพศิษฐ์ ตระกูลก้องสมุท
MSc. Clinical & Public Health Nutrition (Distinction), UCL, London, UK Certificate in Plant-Based Nutrition, T.Colin Campbell Center, Cornell University. American Board in Anti-Aging & Regenerative Medicine
ภาวะลําไส้รั่ว (Leaky Gut Syndrome) คืออะไร?
ภาวะลำไส้รั่ว หรือ Leaky Gut หมายถึงภาวะที่มีการดูดซึมผ่านผนังเยื่อบุลำไส้มากเกินไป (Increased Intestinal Permeability) ทำให้เกิดการรั่วซึมของสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในทางเดินอาหารเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือด โดยปกติแล้วเยื่อบุลำไส้จะอนุญาตให้สารบางอย่างซึมผ่าน (Transcellular Absorption) เท่านั้น เช่น วิตามิน แร่ธาตุ น้ำตาลโมเลกุลเล็ก กรดไขมัน กรดอะมิโน แต่ในภาวะลำไส้รั่วนี้ ทำให้สารที่ไม่ควรถูกดูดซึมสามารถซึมผ่านเยื่อบุผนังลำไส้ได้ เช่น สารพิษ โปรตีนโมเลกุลใหญ่ แอนติเจน (สารแปลกปลอม) สารอักเสบ เชื้อก่อโรคทั้งแบคทีเรีย ไวรัส ยีสต์ ซึมผ่านเข้าสู่ผนังลำไส้ แล้วเดินทางต่อเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต ไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน เกิดการอักเสบเรื้อรัง ทำให้เกิดอาการ และปัญหาสุขภาพในหลายระบบของร่างกายตามมา เช่น โรคอ้วน โรคลำไส้แปรปรวน โรคลำไส้อักเสบ โรคภูมิแพ้อาหาร และปวดศีรษะไมเกรน
นอกจากการปรับพฤติกรรมแล้ว การบริโภคอาหารเสริมของลำไส้จำพวกโพรไบโอติกจะกระตุ้นให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายเพราะโพรไบโอติกจะช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีในร่างกาย ซึ่งจะมีส่วนช่วยทำให้ไมโครไบโอมมีความสมดุลมากขึ้น และจะทำให้คุณมีสุขภาพโดยรวมดีขึ้นอีกทั้งมีส่วนช่วยในการป้องกันภาวะลำไส้รั่วได้
จุลินทรีย์ในลำไส้ของคนอ้วนจะสะสมพลังงานในรูปไขมันมากกว่าจุลินทรีย์ในลำไส้ของคนผอม
การอักเสบเรื้อรังเป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความอ้วน โดยพบว่าการเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้จากการกินอาหารที่มีไขมันสูง ส่งผลให้ เกิดการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งทำให้เกิดการสะสมไขมันในช่องท้อง ภาวะดื้ออินซูลินและน้ำตาลในเลือดสูง
จุลินทรีย์ที่ดีจะสร้างกรดไขมันสายสั้นหลักๆ (Short Chain Fatty Acids; SCFA) 3 ชนิด ได้แก่ อะซิเตท (Acetate),บิวทิเรท (Butyrate), และโพรพิโอเนท (Propionate) ซึ่งกรดไขมันสายสั้นพวกนี้จะมีส่วนช่วยในการลดอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยควบคุมความอิ่มควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดและลดความอยากอาหาร
ด้วยเหตุนี้การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ผนวกกับการปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ เป็นหลักการใหม่ในการควบคุม หรือ ลดน้ำหนัก ส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมันในเลือด และลดการอักเสบเรื้อรังซึ่งเป็นวิธีการที่ทำได้ง่ายและยั่งยืน
เสริมอาหาร โพรไบโอติก ให้จุลินทรีย์
บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส | 5.1 พันล้าน (5.1 x 109) CFU ต่อ 1.5 กรัม1 |
แล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส | 1.1 พันล้าน (1.1 x 109) CFU ต่อ 1.5 กรัม1 |
แล็กโทบาซิลลัส พาราคาเซอิ | 0.1 พันล้าน (0.1 x 109) CFU ต่อ 1.5 กรัม1 |
อินูลิน (85%)1,000.00 มก.จุลินทรีย์โพรไบโอติก 5 สายพันธุ์*
• บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (HN019)62.18 มก.• แล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส (NCFM™*)21.40 มก.• แล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส (La-14™*)1.39 มก.• บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (BL-04™*)0.68 มก.• แล็กโทบาซิลลัส พาราคาเซอิ (Lpc-37™*)0.50 มก.
อินูลิน (85%)1,000.00 มก.จุลินทรีย์โพรไบโอติก 5 สายพันธุ์*
• บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (HN019)62.18 มก.• แล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส (NCFM™*)21.40 มก.• แล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส (La-14™*)1.39 มก.• บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (BL-04™*)0.68 มก.• แล็กโทบาซิลลัส พาราคาเซอิ (Lpc-37™*)0.50 มก.
"ยุคทอง"
ของธุรกิจสุขภาพ
เทรนด์ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยต่างหันมาให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพมากขึ้น ทั้งการออกกำลังกาย รับประทานอาหารเสริมและวิตามินเพื่อดูแลสุขภาพและชะลอการเกิดโรค
เทรนด์ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยต่างหันมาให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพมากขึ้น ทั้งการออกกำลังกาย รับประทานอาหารเสริมและวิตามินเพื่อดูแลสุขภาพและชะลอการเกิดโรค
คนไทยจะอายุยืนขึ้น
อายุเฉลี่ยของคนไทยมากขึ้นจาก 75 ปี เป็น 85 ปี และ ปี 2574 ประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aging Society) มีผู้สูงอายุเท่ากับหรือมากกว่า 28%
- การมีอายุยืนยาวขึ้นไม่ได้หมายความว่า เราจะมีสุขภาพที่ดีตลอดอายุขัย การใส่ใจดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ จึงควรให้ความสำคัญ
ตลาดวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเติบโตอย่างรวดเร็ว
- ปี 2567 ตลาดวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะมีมูลค่าสูงถึง 85,000 ล้านบาท ด้วยการเติบโตเฉลี่ย 8.4% (พ.ศ. 2566-2570)
- เพราะวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปตามการขยายตัวของสังคมเมือง (urbanization) การใช้ชีวิตที่เร่งรีบและเวลาในการทำอาหารทานเองน้อยลง ทำให้ต้องสรรหาวิตามินและอาหารเสริมมาทานมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายยังคงได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น