สร้างสหกรณ์จากเวลาว่างหลังเลิกงานตอนเย็นของคุณ
ใช้เวลาว่างตอนเย็นหลังเลิกงานมาสร้างธุรกิจ
ศึกษาผลิตภัณท์ให้เกิดความเข้าใจและทดลองใช้ผลิตภัณท์เพื่อทดลองให้รู้ด้วยตัวของคุณเองว่าผลิตภัณท์มีคุณค่า มีคุณภาพตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ หลังจากได้ทดลองใช้จนเป็นที่เข้าใจในคุณภาพและมีประสบการณ์การใช้แล้วให้จดจำความรู้สึกที่ได้จากการใช้ คุณรู้สึกประทับใจอะไรให้จำไว้เพื่อนำไปเล่าให้ผู้คนได้รู้กันต่อไปพร้อมลงมีอศึกษาการสร้างกลุ่มผู้ใช้ 25 ครอบครัวจากผู้คนที่อยู่รอบๆตัวคุณ เราไม่ได้ไปเพื่อขายสินค้าเหมือนนักขายแต่เรานำผลิตภัณท์ของเราไปแก้ปัญหาให้กับลูกค้าทุกคน

กลุ่มลูกค้า 25 ครอบครัวจะเป็นรากฐานทางธุรกิจให้คุณอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากคุณให้บริการทุกๆครอบครัวด้วยใจให้พวกเขาคุ้มค่ากับการได้เป็นลูกค้าประจำของคุณ เวลามีโปรโมชั่นใหม่่ๆคุณจะมีข่าวแจ้งให้พวกเขารู้เสมอๆ มีโปรโชั่นดีๆคุณก็มักจะชวนให้พวกเขามาร้วมกิจกรรมกับคุณอย่างเสมอๆ คุณมีกลุ่มลูกค้าที่แข็งแรงแล้ว ได้เวลาสร้างกลุ่มผู้ทำธุรกิจขึ้นมาอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อทวีคูณปันผลของคุณให้เพิ่มขึ้นคุ้มค่ามากกว่าเดิมให้คุณได้ใช้ต่อยอดเพื่อช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้น หลากหลายขึ้น คุณจะมีความสุขกับการได้บอกต่อเพราะผู้รับข้อมูลได้ประโยชน์ พวกเขามีสุขภาพดีขึ้น มีทางเลือกให้กับชีวิตเพิ่มขึ้น มีชีวิตที่ดีขึ้น โดยหลักการของเรามีง่ายๆคือคุณคุยเรื่องผลิตภัณท์และสร้างกลุ่มสหกรณ์กับผู้คนทุกวันๆ จดบันทึกประวัติการให้ความรู้และการให้ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ คุณได้คุยกับผู้คนมากพอและมีหลายคนสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกในองค์กรธุรกิจของคุณ ให้คุณหมั่นสังเกตุคนที่มีความสนใจและตั่งใจอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม มีฝันอยากเปลี่ยนแปลงชีวิต คุณสามารถคุยกับพวกเขาพร้อมนำเสนอโครงการและความช่วยเหลือเพื่อปั้นให้พวกเขาสามารถมีกลุ่มสมาชิกสหกรณ์ผู้บริโภคของพวกเขาเอง ให้สร้างกลุ่มผู้คนที่อยากมีธุรกิจด้วยบริการโอกาสทาวธุรกิจที่เราเปิดโอกาส คัดคนมา 5 คนเพื่อช่วยให้ทุกคนในกลุ่มมีสมาชิกผู้ใช้ผลิตภัณท์ 25 ครอบครัว ให้ทุกคนมีรายได้จากปันผลคนละหนึ่งหมื่นบาท
บอกต่อพร้อมช่วยเหลือให้ทุกคนในกลุ่มสร้างกลุ่มคนอยากทำธุรกิจขึ่นมาอีกกลุ่มหลังจากที่ทุกคนได้ปันผลจากลูกค้าใช้แล้ว บอกพวกเขานี่คือความคุ้มค่าที่แผนธุรกิจจะมอบให้ทุกคน
.jpg)
ปัจจุบันธุรกิจครอบครัวซึ่งคิดเป็น 90% ขององค์กรธุรกิจทั่วโลก เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ และจ้างงานหลายล้านตำแหน่งทั่วโลก โดยได้ขับเคลื่อนการสร้างงานและการเป็นผู้ประกอบการมาอย่างยาวนาน แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจ SMEs แต่ก็มีบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่ Walmart ไปจนถึง Ford ล้วนดำเนินกิจการโดยครอบครัวเช่นกัน
การวิเคราะห์ของ Tharawat พบว่าธุรกิจครอบครัวมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจอย่างยิ่งในทุกๆ ประเทศ จากภาพที่ 1 แสดงให้เห็นว่า 79% ของผลผลิตทางเศรษฐกิจของอินเดียขับเคลื่อนโดยธุรกิจครอบครัว ซึ่งสูงที่สุดในชุดข้อมูลทั้งหมด โดย Reliance Industries เป็นธุรกิจครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลก
LOYALTY CUSTOMER คืออะไร
Loyalty Customer คือ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ เกิดจากการที่ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีในการซื้อสินค้า หรือการใช้บริการ เช่น คุณภาพของสินค้าดี มีความเอาใส่ใจลูกค้า ให้คำแนะนำอย่างเป็นกันเอง สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ฯลฯ จนทำให้ลูกค้าเลือกที่จะกลับมาใช้บริการอีก และเมื่อลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีซ้ำๆ ก็จะทำให้เกิดความประทับใจ เชื่อใจ และรู้สึกผูกพันกับแบรนด์
LOYALTY CUSTOMER สำคัญอย่างไร
ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ จะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการซ้ำอย่างไม่ลังเล แม้ว่าจะมีตัวเลือกอื่นที่ถูกกว่า หรือคู่แข่งจะเสนอโปรโมชันที่ดีกว่า แต่ลูกค้าก็จะยังคงให้การสนับสนุน รวมถึงบอกต่อคนรอบข้าง เพื่อน ครอบครัว หรือรีวิวเชิงบวกลงในช่องทางต่างๆ ซึ่งจะทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และมีภาพลักษณ์ที่ดี น่าเชื่อถือ อีกทั้งลูกค้าเหล่านี้ยังมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าอื่นๆ หรือสินค้าที่ออกใหม่ได้ง่ายขึ้น เพราะมีความเชื่อมั่นในแบรนด์เป็นทุนเดิม
LOYALTY CUSTOMER มีกี่ประเภท
พฤติกรรมการบริโภคของคนเราแตกต่างกัน บางคนกินอาหารเหมือนเดิมได้ทุกวันไม่มีเบื่อ แต่บางคนก็ชอบเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ Loyalty Customer ที่ก็มีหลายประเภท และมีระดับความชื่นชอบที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าแบรนด์สามารถแบ่งแยกได้ ก็จะรู้วิธีรับมือกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม และหาทางสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ได้อย่างเหมาะสม โดยสามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภท ดังนี้
ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งอย่างสุดโต่ง (Hard-Core Brand Loyalty)
ลูกค้ากลุ่มนี้มีความจงรักภักดีต่อแบรนด์สูงมาก ทุกครั้งที่ซื้อสินค้าก็จะมุ่งตรงไปที่แบรนด์นี้อย่างเดียว โดยไม่สนใจแบรนด์คู่แข่งเลย หรือต่อให้พบว่าสินค้าของคู่แข่งจะเหนือกว่า มีโปรโมชันดีกว่า พวกเขาก็ยังเลือกแบรนด์โปรดในดวงใจอยู่ดี สิ่งเหล่านี้มักเกิดกับแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ หรือตัวตนที่ชัดเจน เช่น มีนวัตกรรมที่โดดเด่น หรือเทคโนโลยีเฉพาะ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ แบรนด์ Apple ที่ไม่ว่าจะออกผลิตภัณฑ์อะไรมา เหล่าสาวกก็รู้สึกตื่นเต้น และกระตือรือร้นที่จะซื้ออยู่เสมอ พอมือถือเครื่องที่ใช้อยู่พัง ก็ซื้อเครื่องใหม่เป็นแบรนด์เดิมโดยไม่ลังเล
ความภักดีต่อแบรนด์มากกว่าหนึ่งแต่มีเพียง 2-3 แบรนด์ที่อยู่ในใจ (Split Loyal Customers)
ลูกค้ากลุ่มนี้จะมีแบรนด์โปรดในใจอยู่จำนวนหนึ่ง และหนึ่งในนั้นก็จะมีแบรนด์ที่ชอบมากที่สุดด้วย เวลาเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ จึงมักเลือกแบรนด์ที่ชอบที่สุดเป็นอันดับแรก แต่ถ้าต้องเลือกแบรนด์อื่น ก็จะเลือกแค่ 2-3 แบรนด์ที่ชอบรองลงมา ซึ่งหากแบรนด์สร้างความประทับใจมากๆ ให้โดดเด่นกว่าแบรนด์อื่น คนกลุ่มนี้จะพัฒนาไปเป็นลูกค้าที่มีความจงรักภักดีต่อแบรนด์อย่างสุดโต่งได้ไม่ยาก
ความภักดีต่อแบรนด์หนึ่งแต่เปลี่ยนใจไปอีกแบรนด์หนึ่ง (Shifting Loyal Customers)
ลูกค้ากลุ่มนี้เปรียบเสมือนการรวมตัวของลูกค้าแบบ Hard-Core Brand Loyalty และ Split Loyal Customers เพราะแรกเริ่มเดิมทีลูกค้ากลุ่มนี้มักมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งอย่างสุดโต่ง อินมาก ชอบมาก แต่เมื่อมีโอกาสได้ลองซื้อสินค้าหรือใช้บริการของอีกแบรนด์ และได้รับประสบการณ์ที่ดี ก็ทำให้เกิดความจงรักภักดีต่อแบรนด์นี้มากด้วยเช่นกัน ข้อดีคือคนกลุ่มนี้ไม่ได้เปลี่ยนแบรนด์บ่อย แต่ก็มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแบรนด์ได้เสมอเมื่อเจอสิ่งที่ถูกใจ
ไม่ได้ยึดติดต่อแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง (Need-Based Loyal Customers)
ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ได้ยึดติดกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งเป็นพิเศษ เพราะชื่นชอบที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ เช่น แม้อาหารร้านนี้จะอร่อย สะอาด คุณภาพดี ราคาไม่แพง แต่ลูกค้าก็ยังอยากจะลองชิมอาหารแบบเดียวกันที่ร้านอื่นด้วย หรือเห็นรีวิวร้านไหนว่าดี ก็จะตามไปกินเรื่อยๆ ข้อดีคือแบรนด์สามารถดึงลูกค้ากลุ่มนี้มาได้ไม่ยาก แต่การสร้างความประทับใจแบบทั่วไป อาจจะไม่เพียงพอที่จะมัดใจลูกค้ากลุ่มนี้ให้เกิดความจงรักภักดีต่อแบรนด์ได้ จึงต้องมอบความพิเศษที่เหนือกว่า และทำให้เกิดความพึงพอใจของลูกค้าอย่างสูงสุด
ไม่มีแบรนด์ที่ชอบโดยเฉพาะ (Need-Based Loyal Customers)
ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่มีแบรนด์โปรดในใจ และก็อาจจะไม่ได้สนใจเรื่องแบรนด์เท่าไหร่ด้วย เวลาเลือกซื้อจึงพิจารณาจากสินค้าหรือบริการเป็นหลัก เช่น คุณภาพ ราคา ความคุ้มค่า อายุการใช้งาน หรือคำแนะนำจากคนรอบข้าง พร้อมจะเปลี่ยนแบรนด์เสมอเมื่อเจอสิ่งที่ดีกว่า เพราะฉะนั้นการสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์กับคนกลุ่มนี้ จึงต้องเข้าใจความต้องการที่แท้จริง และสร้างความประทับใจด้วยการนำเสนอสินค้าและบริการที่เหนือกว่าคู่แข่ง หรือตอบโจทย์ได้มากที่สุด
วิธีสร้าง LOYALTY CUSTOMER เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ
การมี Loyalty Customer หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ลูกค้าประจำ จะช่วยให้การทำธุรกิจง่ายขึ้นมาก เพราะคนกลุ่มนี้พร้อมจะซื้อสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง โดยที่แบรนด์แทบไม่ต้องโฆษณา หรือตั้งโปรโมชันส่งเสริมการขายอะไรมากมาย แต่ก่อนจะมาถึงจุดนี้ ก็ต้องหาวิธีเปลี่ยนลูกค้าทั่วไป ให้กลายมาเป็นลูกค้าประจำให้ได้ก่อน ซึ่งอาจจะต้องใช้กลยุทธ์หลายๆ อย่างประกอบกัน ดังนี้
นำรีวิวมาสร้างแรงกระตุ้นการซื้อ
รีวิวสินค้า เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ โดยเฉพาะปัจจุบันที่คนนิยมซื้อของออนไลน์กันมากขึ้น แต่ลูกค้าไม่ได้เห็นหรือสัมผัสกับสินค้าโดยตรง รีวิวจากผู้ใช้จริงจึงเป็นตัวช่วยที่ทำให้เห็นภาพรวม หรือผลลัพธ์ว่าสินค้าชนิดนี้ดีอย่างไร ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง Feedback จากลูกค้าคนอื่นๆ มีความพึงพอใจมากน้อยแค่ไหน ทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ และตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
สร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าและแบรนด์
การสร้างความประทับใจแรกเป็นสิ่งสำคัญ แต่การจะสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ได้ ต้องทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจซ้ำๆ จึงต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัย Customer Loyalty Program ซึ่งก็คือ เครื่องมือทางการตลาดที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ เช่น การสะสมคะแนน เพื่อแลกรับส่วนลด หรือสิทธิพิเศษต่างๆ การสมัครสมาชิกเพื่อรับข่าวสาร และสิทธิประโยชน์ หรือการแบ่งกลุ่มลูกค้าเป็นขั้นๆ เช่น ระดับ Silver, Gold, Platinum เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกเป็นคนพิเศษ ดังนั้นแบรนด์จึงต้องมีการวางแผนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ว่าจะบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างไรให้ยั่งยืนมากที่สุด
ใช้การตลาดแบบปากต่อปาก
การตลาดแบบปากต่อปาก เป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลดียิ่งกว่าการทุ่มงบประมาณสร้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ใดๆ เพราะให้ความรู้สึกที่น่าเชื่อถือมากกว่า ลองเปรียบเทียบง่ายๆ ระหว่างใครก็ไม่รู้ กับเพื่อนสนิท มาบอกว่าของชิ้นนี้ดี คนส่วนใหญ่คงเลือกจะเชื่อเพื่อนมากกว่าอยู่แล้ว ดังนั้นจึงต้องเริ่มจากการมอบบริการที่ดี ทำให้ลูกค้าประทับใจ จนเต็มใจที่จะบอกต่อ หรือแนะนำให้คนรอบตัว จะช่วยให้ฐานลูกค้ากว้างขึ้น และยอดขายก็จะโตขึ้นตามไปด้วย
รับฟังความคิดเห็นของลูกค้าและปรับปรุงสินค้าอยู่เสมอ
แม้แต่ลูกค้าที่มีความจงรักภักดีต่อแบรนด์อย่างสุดโต่ง ก็อาจเปลี่ยนใจ หรือหายไปได้เหมือนกัน หากสินค้าหรือบริการที่ได้รับทำให้เกิดความผิดหวังอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือการรับฟัง Feedback หรือความคิดเห็นจากลูกค้า และนำไปพัฒนา หรือปรับปรุงสินค้า และบริการให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งการแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าแบรนด์รับฟัง ใส่ใจ และนำไปแก้ไข กลับจะยิ่งทำให้เกิดความประทับใจ และจงรักภักดีต่อแบรนด์มากขึ้นด้วย
ให้บริการที่ดีอย่างสม่ำเสมอ
การสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์จำเป็นต้องอาศัยเวลา สิ่งที่แบรนด์ทำได้จึงเป็นการให้บริการที่ดีอย่างสม่ำเสมอ และเหมือนกันในทุกช่องทาง ไม่ว่าลูกค้าจะติดต่อมาสอบถามผ่านทางโทรศัพท์ ไปซื้อสินค้าที่หน้าร้าน หรือเลือกซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ เพราะลูกค้าย่อมคาดหวังบริการที่ดีเหมือนที่เคยได้รับ และคงจะดียิ่งขึ้นหากแบรนด์ตอบสนองได้เกินความคาดหวังนั้นไปอีก
มอบของขวัญตอบแทนลูกค้า
อีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้เกิด Customer Loyalty ก็คือ การสร้างความผูกพัน ให้ลูกค้ารู้สึกเป็นคนพิเศษ เหมือนเป็นคนในครอบครัว โดยอาจจะใช้วิธีมอบ Gift Set ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ในโอกาสต่างๆ เช่น มอบส่วนลดสุดพิเศษให้ในวันเกิด มอบผลิตภัณฑ์ให้ใช้ฟรีๆ เมื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือเชิญมาร่วมกิจกรรมแบบ Exclusive ที่ทางแบรนด์จัดขึ้น เป็นต้น นอกจากจะช่วยสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ ก็ยังช่วยกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการด้วย
สรุป
การสร้าง Loyalty Customer หรือความจงรักภักดีต่อแบรนด์ มีความสำคัญมากต่อธุรกิจ เพราะเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยแบรนด์มียอดขายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเกิดการบอกต่อจนทำให้ฐานลูกค้าขยายเพิ่มมากขึ้น ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน และได้เปรียบคู่แข่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนงัดเอาเครื่องมือ หรือวิธีการต่างๆ มาใช้เพื่อสร้างความประทับใจ GIFTWISE ยินดีให้บริการผลิตของขวัญสุดพรีเมียม เพื่อเป็นตัวแทนของแบรนด์ในการขอบคุณลูกค้าเก่าที่ให้การสนับสนุนอย่างดีเสมอมา รวมถึงต้อนรับลูกค้าใหม่อย่างอบอุ่น ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์และลูกค้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างยั่งยืน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น